ตอนเช้าวันต่อมา ก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียนศัลย์เดินเข้ามาในห้องพักอาจารย์ตามที่มันตรินีเรียกหา หญิงสาวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะของหล่อนนั่นเอง
“ อาจารย์เรียกผมหรือครับ ? “
“ ได้ข่าวว่าเธอไปทำงานพิเศษที่ศูนย์อาหารหรือ ศัลย์ “ มันตรินีมองคาดคั้น
ศัลย์มีท่าทางอึกอักบ้าง “ ใช่ครับ “
“ เงินไม่พอหรือไง ! “
“ ผมอยากพึ่งตัวเองบ้าง “ ศัลย์ตอบ แววตามุ่งมั่น “ อาจารย์ช่วยผมกับแม่มากแล้วครับ “
มันตรินีนิ่งคิดนิดหนึ่ง จึงกล่าวยอมรับว่า “ เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกอย่าหักโหมจนลืมอ่านตำราล่ะ ศัลย์ “
“ ครับ “
หญิงสาวอนุญาตให้เด็กหนุ่มกลับไปที่ห้องเรียนได้ จากนั้นหล่อนจึงเดินไปยังบริเวณด้านข้างของโรงเรียนธีระวิทยาซึ่งมีเด็กนักเรียนเดินผ่านไปมาค่อนข้างบางตา พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มนักเรียนกำลังส่งเงินข้ามรั้วไปให้บางคนที่อยู่ข้างนอก แล้วกล่องกระดาษใบเล็กก็ถูกส่งข้ามมาให้เป็นการตอบแทน
“ พวกเธอกำลังทำอะไร ? “ มันตรินีส่งเสียงดัง ทำให้นักเรียนกลุ่มนั้นสะดุ้งเฮือก
หญิงสาวเห็นเงาของคนภายนอกวิ่งหายไปแล้ว จึงเดินเข้าไปหาพวกนักเรียน
“ อาจารย์ตรี ! “ นักเรียนคนหนึ่งครางในลำคอ ท่าทางหวาดกลัวความผิด
“ ส่งกล่องนั้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ “ อาจารย์สาวสั่งเสียงเฉียบขาด
เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง พลางส่งสายตาไปยังเหล่าลูกน้องที่กำลังยืนรายล้อมอาจารย์สาว
“ อาจารย์คงไม่อยากเห็นของในกล่องนี้หรอกครับ “ ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นอาจารย์สาวร่างเล็กกำลังถูกพรรคพวกของเขาล้อมไว้อยู่
“ ฉันยังยืนยันคำสั่งเดิม วิชัย “ หล่อนมองด้วยดวงตาเปล่งประกายวับ โดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว
“ ถ้าผมไม่ให้ล่ะ อาจารย์จะทำอะไรพวกผมได้ “ วิชัยพูดท้าทาย
มันตรินีเหยียดยิ้ม “ เธอก็ออกไปจากโรงเรียนนี้ไม่ได้ และอาจถูกไล่ออกถ้าของในกล่องนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย “
“ อาจารย์ไม่เห็น ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ “
“ อย่าคิดว่าจะไม่มีใครรู้พฤติกรรมของพวกเธอสิ “ หล่อนกล่าวอย่างใจเย็น “ ฉันเป็นอาจารย์ของพวกเธอจึงพยายามให้โอกาสกลับตัว ถ้าเธอทำรุนแรงข่มขู่ฉันเท่ากับทำลายอนาคตตัวเองนะ “
คำพูดของหญิงสาวทำให้ลูกน้องบางคนมีความลังเลใจ ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มตวาดเสียงดังใส่มันตรินีว่า “ อาจารย์ไม่อยากเดือดร้อนหรือเสียโฉม ก็อย่ามายุ่งกับเราดีกว่า “
“ หากคนเป็นอาจารย์ต้องก้มหัวให้กับคำพูดขู่ของลูกศิษย์ คงต้องเปลี่ยนอาชีพแล้ว “
“ คิดว่าผมไม่กล้าทำตามที่พูดรึ ! “ วิชัยล้วงมีดคัตเตอร์ออกมาด้วยความย่ามใจ
ลูกน้องคนหนึ่งรีบพูดปรามว่า “ อย่าทำบ้าๆนะ ไอ้วิชัย “
“ ไม่สั่งสอนเสียบ้าง ต่อไปพวกเราจะเดือดร้อน “ วิชัยยืนกราน พลางเดินเข้าใกล้อาจารย์สาวพร้อมมีดในมือ ดวงตาเป็นประกายกร้าว
มันตรินียืนนิ่ง น้ำเสียงเย็นเฉียบยามกล่าวว่า “ ฉันต้องดูกล่องนั้นให้ได้ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรกับใบหน้าของฉันก็ตาม “
วิชัยเงื้อมีดเตรียมปาดไปบนใบหน้าเนียนงามของมันตรินี ทันใดนั้นก็มีมือแข็งแรงยึดข้อมือของเขาไว้แน่น แรงบีบทำให้มีดนั้นหล่นบนพื้นอย่างง่ายดาย เข่าทั้งสองของเด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้น สีหน้าเจ็บปวด
“ พี่สิต ! “ มันตรินีร้องเรียกด้วยความโล่งใจ
สังสิตดึงกล่องในมือของวิชัยมาถือไว้ พลางกล่าวว่า “ ตราบใดที่เธอยังเป็นนักเรียนก็ไม่ควรพูดข่มขู่อาจารย์ซึ่งให้ความรู้กับเธอ “
วิชัยร้องครางเมื่อสังสิตบิดข้อมือของเขามากขึ้น สังสิตยังบอกต่อไปว่า “ สิ่งที่เธอทำไปเมื่อครู่นี้เป็นนิสัยของนักเลงข้างถนน ไม่ใช่นักเรียน ได้ยินชัดไหม วิชัย “
“ ครับ “ วิชัยตอบรับ น้ำตาซึม
สังสิตปล่อยข้อมือของเด็กหนุ่ม แล้วหันไปมองเหล่าลูกน้องของวิชัย “ ได้เวลาทบทวนตัวเองเสียทีว่า พวกเธออยากเป็นนักเรียนหรือนักเลงกันแน่ เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนจะรับนักเรียนเท่านั้น “
เหล่าเด็กหนุ่มก้มหน้างุดกับดวงตาดุกร้าวของอาจารย์หนุ่ม สังสิตจึงบอกให้กลับไปเข้าห้องเรียน ทุกคนรีบสลายตัวทันที
“ ขอบคุณที่มาช่วยทันนะคะ “
สังสิตเปิดกล่องเล็กนั้นดู ก็เห็นเม็ดยาที่บรรจุในถุงพลาสติคจัดวางเรียงไว้ มันตรินีถอนใจยาว
“ ฉันคิดว่าไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ไว้นะ พี่สิต “
สังสิตยังไม่ทันตอบอย่างใด ชายหนุ่มร่างสันทัด ผิวขาวพูดแทรกขึ้นว่า “ ถ้าไม่กำจัดปัญหา โรงเรียนจะไม่สงบแน่ เพราะพวกนี้ทำงานเป็นแก๊งค์นะ “
“ คุณ…… “ มันตรินีหันไปมองเจ้าของคำแนะนำด้วยแววตาวาวโรจน์ หล่อนจำเขาได้ดี ผู้ชายที่เล่นสควอชกับหล่อนเมื่อวันก่อนนั่นเอง !
“ พลัชไงครับ “ ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม
มันตรินียิ้มตอบ “ ไม่นึกว่าจะพบกับคุณอีกนะ “
“ พวกคุณรู้จักกันมาก่อนหรือครับ ? “ สังสิตเอ่ยถามขึ้น แววตาสงสัย
หญิงสาวไม่ตอบ แต่กลับย้อนถามอาจารย์หนุ่มว่า “ พี่สิตอยู่กับเขาได้อย่างไรคะ ? “
“ คุณพลัชเป็นเพื่อนกับคุณภัค “ สังสิตตอบเสียงเรียบ “ เธอขอให้ผมช่วยพาชมโรงเรียนครับ “
มันตรินีเลิกคิ้วนิดหนึ่ง พลางกล่าวล้อว่า “ นักธุรกิจอย่างคุณคงไม่สนใจซื้อโรงเรียนนี้หรอกนะ “
พลัชหัวเราะ “ วันนี้ผมขอเป็นแขกอย่างเดียวครับ “
เด็กนักเรียนคนหนึ่งวิ่งมาบอกกับมันตรินีว่า “ อาจารย์ใหญ่เรียกประชุมที่ห้องของท่านค่ะ อาจารย์ตรี “
หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ พลางหันมาทางชายหนุ่มทั้งสองคน “ ฉันต้องขอตัวก่อนค่ะ “
“ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสคุยกันนานกว่านี้นะครับ “ พลัชเอ่ยยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกาย
มันตรินีอมยิ้มเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าจากไป พลัชตะโกนถามว่า “ คุณยังไม่บอกชื่อเลยนะครับ “
“ ไม่สำคัญสำหรับเราหรอกค่ะ “ อาจารย์สาวหันมาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่ม พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากที่นั่น
สังสิตมองชายหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนของภัคธีมาอย่างระแวงใจ เขารู้สึกมีบางอย่างซ่อนเร้นในแววตาของพลัชที่เขาไม่อาจหาเหตุผลมาชี้แจงได้
“ คุณคงบอกผมได้สินะว่าเธอชื่ออะไร ? “
“ มันตรินี ! “ สังสิตตอบเสียงสุภาพ
พลัชยิ้มพึงใจ “ ชื่อเพราะจัง “
“ ผมจะพาไปชมโรงเรียนที่ตึกอื่นนะครับ “ สังสิตบอกเสียงเข้มขึ้นแล้วก้าวนำไปอย่างเร็ว
อาจารย์กิ่งแก้วซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนธีระวิทยาได้รับแจ้งขอความร่วมมือจากตำรวจท้องที่เพื่อตรวจสอบการเสพยาบ้าของเด็กนักเรียนตามที่มีสายสืบรายงานมา ดังนั้นอาจารย์ใหญ่จึงเรียกประชุมเหล่าอาจารย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ความเห็นจากที่ประชุมแบ่งเป็นสองฝ่าย ยังไม่อาจตัดสินได้
“ เราไม่ควรจะเห็นแก่ภาพพจน์ของโรงเรียน แล้วปิดบังความจริงนะคะ “ มันตรินีพูดเสียงจริงจัง หลังจากการโต้เถียงได้ผ่านไประยะหนึ่ง
อาจารย์สาวใหญ่คนหนึ่งกล่าวโต้ว่า “ ถ้าข่าวรั่วไหลว่านักเรียนของเราเสพยาบ้า ผู้ปกครองอาจเอาเด็กออกไป โรงเรียนจะเสียหายมาก “
“ ถ้าปล่อยต่อไปพวกค้ายาบ้าจะกำเริบ ข่มขู่พวกอาจารย์ สุดท้ายโรงเรียนของเราอาจอยู่ใต้อำนาจของนักเรียนนักเลงนะคะ “ มันตรินีโต้เสียงเครียด
“ เราน่าจะไล่เด็กที่ก่อปัญหานะครับ “ อาจารย์บางคนเสนอความคิด
อาจารย์กิ่งแก้วนิ่งคิด ขณะที่มันตรินีมีทีท่าไม่เห็นด้วยนัก “ ฉันไม่คิดว่าการไล่เด็กออกเพียงไม่กี่คนจะแก้ปัญหาการค้ายาหรือการเสพยาในโรงเรียนไปได้นะคะ “
อาจารย์หลายคนกำลังจะพูดโต้ขึ้นมา ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่รีบโบกมือห้ามเสียก่อน
“ ประธานของโรงเรียนนี้บอกกับเราเสมอว่า เราต้องให้ความรู้และความรักแก่นักเรียนเยี่ยงเดียวกับลูกหลานของเรา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น อาจารย์จะตัดสินใจง่ายๆโดยไล่เด็กออกไป ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ “ มันตรินีกล่าวเด็ดเดี่ยว
อาจารย์กิ่งแก้วมองหนักใจ ขณะที่อาจารย์ซึ่งสูงวัยที่สุดพูดขึ้นว่า “ ควรไล่ตัวปัญหาออกไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหาที่เหลือ เราจะได้ไม่ต้องให้ตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง มันเป็นวิธีรักษาชื่อเสียงของโรงเรียนด้วยนะคะ “
อาจารย์กิ่งแก้วมีความโอนเอียงไปกับความคิดนี้เช่นกัน
มันตรินีเอ่ยท้วงว่า “ การร่วมมือกับตำรวจอาจทำให้เราเจ็บตัวบ้าง แต่จะทำให้รู้จำนวนเด็กติดยาและแก้ไขได้ตรงเป้าหมาย ฉันคิดว่าพ่อแม่ของเด็กอื่นจะศรัทธาในโรงเรียนที่เฝ้าดูแลลูกหลานของเขาเต็มที่นะคะ “
“ พูดแบบเด็กๆ ! “ อาจารย์สาวใหญ่คนหนึ่งบอกอย่างเหลืออด แววตาเหยียดหยัน “ โรงเรียนนี้ก่อตั้งมายาวนานกว่าอายุของอาจารย์ตรีเสียอีก จะให้นำชื่อเสียงมาเสี่ยงกับความเห็นของคุณได้รึ “
มันตรินีสะกดกลั้นความโกรธไว้ ยามเอ่ยกับผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ว่า “ โรงเรียนในแถบนี้มีหลายโรง ปกติตำรวจจะไม่มายุ่งหากปัญหานั้นๆยังเล็กอยู่ แต่เขาเดินมาติดต่อกับอาจารย์ด้วยตัวเอง นั่นแสดงว่าโรงเรียนของเรากำลังมีปัญหาหนักมาก และเขาคิดว่ามันเกินกำลังที่โรงเรียนจะช่วยตัวเองได้ จึงเสนอตัวเข้ามา “
คำพูดของมันตรินีทำให้ทุกคนในห้องประชุมนิ่งเงียบ ดวงตาทุกคู่แฝงแววครุ่นคิดหนัก
“ หากเรายังปิดบังต่อไป ตำรวจคงไม่ยอมอยู่เฉย “ มันตรินีบอกเสียงแข็ง “ ปัญหาการเสพยาบ้าไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แต่เป็นระดับประเทศ มันกระทบต่ออนาคตของเด็ก พวกคุณซึ่งเป็นอาจารย์ไม่ควรเห็นแก่ชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของตัวเอง จนกระทั่งลืมความหมายและหน้าที่ของอาจารย์ผู้ประสาทวิชาความรู้ให้กับเด็กนักเรียน สถานที่นี้ไม่ใช่บริษัทห้างร้านที่ต้องคำนึงแต่กำไรเป็นหลัก ธีระวิทยาของเราเป็นโรงเรียนหวังว่าพวกคุณคงไม่ลืมเรื่องนี้นะคะ “
มันตรินีพูดจบก็เดินออกไปทันทีด้วยอารมณ์ขุ่นมัว อาจารย์คนอื่นมีความไม่พอใจหญิงสาวมากกับคำพูดกระทบกระเทียบนั้น บางคนก็สนับสนุนความคิดของมันตรินี ทำให้ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่มีความหนักใจยิ่งกับการตัดสินใจในปัญหานี้มาก
สังสิตเดินเข้ามาในห้องพักอาจารย์จึงเห็นมันตรินีกำลังเก็บโน้ตบุคส์ส่วนตัวใส่กระเป๋า
สีหน้าไม่ดีนัก
“ จะออกไปไหนครับ คุณตรี “
มันตรินีรวบรวมเอกสารบางฉบับใส่กระเป๋าสะพายไหล่อีกใบ พลางตอบว่า “ หมอพรขอให้ไปช่วยงานนิดหน่อย เดี๋ยวเธอจะขับรถมารับค่ะ “
ชายหนุ่มไม่ติดใจมากนัก เพราะรู้จักหมอพรเพ็ญซึ่งเป็นจิตแพทย์สูงวัยที่ดูแลหญิงสาวมาตั้งแต่เด็กเป็นอย่างดี ระยะหลังหมอพรเพ็ญกำลังเขียนหนังสือทางการแพทย์ จึงขอให้มันตรินีไปช่วยด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งหล่อนก็เต็มใจทำให้เต็มที่
“ อย่ากลับดึกล่ะครับ คุณนวลเป็นห่วงคุณมากเพราะไม่ได้ขับรถเอง “
มันตรินียิ้มนิดๆ “ ถ้าฉันขับรถเอง ท่านจะห่วงอีกไหม พี่สิต “
“ คงห่วงมั้ง ! “ เขาตอบ พลางเอ่ยถามว่า “ ได้ยินว่ามีการประชุมเรื่องยาบ้า ผลเป็น
อย่างไรบ้างครับ “
“ ฉันไม่รู้ ! “ หล่อนตอบเสียงห้วนขึ้น “ และอย่าถามว่าเกิดอะไรในนั้น เพราะฉันไม่อยากพูดถึง น่าเบื่อที่สุด “
สังสิตยืนงง เมื่อหญิงสาวเดินหิ้วกระเป๋าสองใบออกไปจากห้องนั้นด้วยท่าทางอารมณ์เสียยิ่ง มันเกิดอะไรขึ้นในห้องประชุมวันนี้นะ………
ประธานบริษัท เค พี เอ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นชายวัยหกสิบปี ผมขาวโพลน ร่างสูงสันทัด ก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานของปรานต์ อัครชัย ซึ่งเพิ่งเข้ามาเรียนรู้งานในบริษัทนี้เพียงอาทิตย์เดียว เขาไม่เห็นเจ้าของห้องจึงตั้งใจจะรอพบ ขณะที่นั่งรอลูกชายอยู่ที่เก้าอี้ของปรานต์ เขาเหลือบเห็นซองสีน้ำตาลเข้มวางอยู่บนโต๊ะ จึงหยิบมาดูอย่างสนใจเพราะเจ้าของซองเป็นสำนักงานของนักสืบเอกชนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน
“ พลัช ธนวัตร ! “ ขัมน์พึมพำชื่อนั้น ดวงตาเพ่งมองภาพถ่ายของชายหนุ่มใบหน้าสี่เหลี่ยม คมเข้ม ริมฝีปากบางเฉียบ ผิวค่อนข้างขาว ดวงตาคมกร้าว สิ่งที่สะดุดใจของประธานสูงวัยคือ นามสกุลของชายคนนี้ มันเหมือนกับคนๆหนึ่ง แต่หนุ่มคนนี้ไม่มีใบหน้าที่ละม้ายกับคนที่เขาคิดถึงเลยสักนิด
ขัมน์นั่งอ่านข้อมูลของพลัช ธนวัตร ที่นักสืบนำเสนออย่างละเอียด หัวใจของเขาสั่นรัวพลางปิดแฟ้มข้อมูลอย่างแรง
“ เขาเป็นลูกของคนๆนั้นจริงหรือนี่ ! “ ขัมน์ครางในลำคอ พลันรู้สึกหวาดหวั่นใจกับ
การปรากฎตัวของครอบครัวธนวัตร โดยเฉพาะมารดาของพลัช พัชนี ธนวัตร !
**********โปรดติดตามตอนต่อไป********
สงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย